คู่สกุลเงิน EUR/USD: กลยุทธ์ชั้นนำในตลาด FX

คู่สกุลเงิน EUR/USD: กลยุทธ์ชั้นนำในตลาด FX 

เวลาในการอ่าน: 7 นาที

คุณทราบหรือไม่ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมในตลาด แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เกือบทั้งหมด?

คุณทราบหรือไม่ว่าสกุลเงินเดียวของยุโรป (ยูโรหรือ 'ยูโร') เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายเป็นอันดับสอง?

ดังนั้น จึงไม่ควรแปลกใจมากนักที่คู่สกุลเงิน EUR/USD เป็นหนึ่งในคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด ดังที่เห็นได้จากแบบสำรวจธนาคารกลาง BIS สามปีครั้ง 

คุณคงทราบดีอยู่แล้วว่ามีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดสกุลเงิน ตั้งแต่ดอกเบี้ยไปจนถึงสถิติเศรษฐกิจมหภาคโดยรวมและภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามที่เกี่ยวข้องว่า เราจะซื้อขายในตลาดนี้ได้อย่างไรเมื่อมีตัวแปรมากมายที่ต้องพิจารณา?

แม้ว่าจะมีวิธีการต่าง ๆ มากมายที่เทรดเดอร์ใช้ในการนำทางและซื้อขายในตลาดนี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ แต่บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธิตกลยุทธ์บางอย่างที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้

การผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์มหภาคและการวิเคราะห์ทางเทคนิค 

เทรดเดอร์มืออาชีพจำนวนมากใช้การวิเคราะห์มหภาค (พื้นฐาน) และการวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกันเป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่พวกเขาใช้อยู่เสมอ

กลยุทธิ์นี้เกี่ยวข้องกับการประเมินภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคเพื่อวัดว่าสกุลเงินใดมีมูลค่าต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป การเฝ้าสังเกตนโยบายการเงินและการคลัง ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ (เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ [GDP] อัตราเงินเฟ้อ การจ้างงานและการผลิต เป็นต้น) และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หากปัจจัยทั้งสามนี้สอดคล้องกัน คุณมักจะเห็นตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เมื่อใดและที่ใดที่ควรเข้าสู่ตลาดจึงตกอยู่ที่ด้านเทคนิค การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางซึ่งอยู่ในกลุ่มของการวิเคราะห์ทางเทคนิคและเกี่ยวข้องกับการประเมินแนวคิดของแผนภูมิ เช่น แนวรับและแนวต้าน อุปทานและอุปสงค์ รูปแบบแท่งเทียน และรูปแบบแผนภูมิ ตลอดจนการใช้เครื่องมือ เช่น การย้อนกลับของฟีโบนัชชี การวางแผน และการยืดขยาย เทรดเดอร์มักใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (technical indicators) เพื่อช่วยเสริมในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในการเทรด เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แถบ Bollinger และ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (RSI).

ตัวอย่างการซื้อขาย

คุณคงจำได้ว่าธคนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายกองทุน Fed มากกว่าห้าเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น (สูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2565) และในที่สุดก็ถึงระดับที่หลายคนเชื่อว่าเป็นอัตราสูงสุดที่ 5.25%-5.50% ในปลายปี 2566 ณ ต้นเดือนมีนาคม 2567 Fed คาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้งในปีนี้โดยเพิ่มขึ้น 25 จุดพื้นฐาน ท่ามกลางกระบวนการสลายเงินเฟ้อ ขณะนี้ตลาดส่วนใหญ่สอดคล้องกับการคาดการณ์นี้ ดังนั้น เทรดเดอร์เข้าใจว่าข้อมูลที่อ่อนตัวเกินคาด (softer-than-expected data) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อ การเติบโต และการจ้างงาน สามารถกระตุ้นให้เกิดการขายคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับ USD ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อพันธบัตรและหุ้นด้วย

ตัวอย่างเช่น การรวมอคติมหภาคเข้ากับแนวรับและแนวต้านเป็นแนวทางทั่วไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ชัดเจน เมื่อคุณเข้าใจภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคแล้ว คุณก็สามารถสำรวจหาและใช้กลยุทธ์การซื้อขายทางเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้เกิดความได้เปรียบ ได้

ลองพิจารณาคู่สกุลเงิน EUR/USD ในกรอบเวลา 5 นาที (ตัวอย่างแผนภูมิด้านล่าง) และนึกถึงการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมกราคมเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ การประกาศดังกล่าวกระตุ้นความต้องการ USD โดยรวมและส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงิน EUR/USD เศรษฐกิจสหรัฐฯ สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการเพิ่มการจ้างงานใหม่ 353,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเพิ่มขึ้น 216,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ รายได้ปีต่อปียังพุ่งสูงถึง 4.5% (M/M เพิ่มขึ้น 0.6%) ทะลุการประมาณการทั้งหมดและก่อนหน้า (4.1%)

ดังที่ได้กล่าวไว้ การเปิดตัวดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงิน EUR/USD ร่วงลง ซึ่งทำให้เทรดเดอร์ต้องแย่งชิงกันเซ้งสถานะซื้อหรือ Buy และเปิดตำแหน่งสถานะขายหรือ Sell เทรดเดอร์บางรายอาจผูกมัดตัวเองไปแล้วที่ตำแหน่ง ซื้อ ที่เกินขอบเขตแนวรับเริ่มต้นระหว่าง $1.0856 ดอลลาร์ถึง $1.0864 1.0856 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการซื้อขายในตลาดนี้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แนวรับทะลุ 1.0813 ดอลลาร์และกลับมาทดสอบแนวต้านอีกครั้งในรอบการเปิดตลาดเงินสดของสหรัฐฯ

อีกประเด็นที่น่าสังเกตคือ แม้ว่าการซื้อขายจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเทรดระยะสั้นหรือการซื้อขายรายวัน แต่การเคลื่อนไหวที่ขยายออกไปนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหลังจากการประกาศรายงานที่ไม่สอดคล้องกัน (out-of-consensus report) ดังนั้นบางครั้งเทรดเดอร์เหล่านี้จึงมักจะถือครองตำแหน่งไว้ในระยะยาว

ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งของการผสมผสานการวิเคราะห์มหภาคและสภาพแวดล้อมทางเทคนิคคือข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ของสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าที่คาดไว้สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลในเดือนมกราคมสำหรับข้อมูลทั่วไปและพื้นฐานแบบปีต่อปี โดยคาดว่าข้อมูลทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 4.2% แต่เท่ากับเดือนธันวาคมที่ 4.0% ในขณะที่ข้อมูลทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.2% แต่จริงแล้วรายงานว่าเพิ่มขึ้น 5.1% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในเดือนธันวาคมเช่นกัน โปรดทราบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ไว้ที่ 4.1% โดยรวมแล้ว ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาช่วยให้ BoE ได้โล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากข้อมูลค่าจ้างที่ค่อนข้างไม่แน่นอนเมื่อวันก่อน (13 กุมภาพันธ์) และส่งผลให้ GBP ถูกขายออกอย่างหนักเนื่องจากรายงานเพิ่มโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดเร็วกว่าที่คาด แม้ว่าตัวอย่างนี้จะไม่ได้อิงตาม EUR/USD แต่ก็สามารถอิงตามคู่สกุลเงิน EUR/USD และเกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หรือกลุ่มยูโรได้เช่นกัน โดยสมมติว่าสถานการณ์คล้ายกันสำหรับเฟดหรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)

โอกาสของจุดเข้าซื้อครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อมีการทะลุแนวรับ 5 นาทีที่ $1.2587 ดอลลาห์ แม้ว่าเทรดเดอร์จะต้องจับจังหวะนี้ให้ทันและจุดเข้าดูไม่ดีนักเนื่องจากโอกาสที่จะเกิดสลิปเพจที่เกิดจากการประกาศข่าว โอกาสในการเข้าสู่ตลาดครั้งที่สองคือการดึงกลับไปสู่แนวต้านที่ 1.2577 ดอลลาร์ จุดเข้านี้อาจทำให้เกิดการเติมเต็มของราคาที่มีความเสถียรมากขึ้นและช่วยให้เทรดเดอร์สามารถค้นหาจุดตั้งการ หยุดการขาดทุน (stop-loss order) ป้องกันไว้ที่เหนือจุด $1.2587

สำรวจการวิเคราะห์มหภาคและทางเทคนิค

แม้ว่าบทความนี้จะยังไม่สามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีสำรวจและซื้อขายตลาด Forex โดยใช้กลยุทธ์ที่ใช้มาอย่างยาวนานได้ทั้งหมด แต่ก็ควรเป็นแนวทางในการเริ่มต้น หากต้องการศึกษาแนวทางนี้ต่อไป โปรดไปที่ FP Markets Academy ซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ซื้อขายขั้นสูง โดยมีวิดีโอที่ครอบคลุมและบทความเชิงลึก